ใช่เหรอ? กิ๊กเก่า อูไน เอเมรี่ เผยคำพูดเหลือเชื่อที่ออกจากปากของอดีตผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล
ซาช่า ไรท์ แฟนเก่าของ อูไน เอเมรี่ ออกมาเปิด เผยว่า กุนซือชาว สแปนิช ตราหน้า ตนว่าเป็น “นางแม่มดขาว” ที่นำโชค ร้ายมา ส่งผลให้ ทำผลงานกับ อาร์เซน่อล ได้อย่างย่ำแย่ จนสุดท้าย ต้องโดนไล่ออก เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมา
ไรท์ วัย 35 ปี เริ่มคบ หาดูใจกับ เอเมรี่ วัย 48 ปี ตั้งแต่เดือน สิงหาคม ปี 2018 หลังฝ่ายชาย บอกว่า หย่ากับ หลุยซ่า เฟร์นานเดซ ภรรยา ที่แต่งงาน กันเมื่อปี 1998 และมีลูกชาย ด้วยกันหนึ่ง คนเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว
ไรท์ เผยผ่าน เดอะ ซัน สื่อเมืองผู้ดีว่า “ฉันเคยเชื่อ มั่นในตัว อูไน และเชื่อจริง ๆ ว่า พวกเราจะได้ แต่งงาน และมีลูกด้วยกัน ในสักวันหนึ่ง ฉันคิดว่า เขาเป็น สุภาพบุรุษ และเป็น ชายหนุ่มที่ รักครอบครัว แต่สุดท้าย ฉันก็ตระ หนักว่า เขาไม่พร้อม กับความสัมพันธ์ที่ จริงจัง”
สำหรับเรื่อง แม่มดขาว เกิดขึ้นตอน ทั้งคู่กลับ มาคืนดี กันปลายปี ที่แล้ว โดย ไรท์ เผยว่า “มันเกิดขึ้น ตอนนั้น เขาโทษฉันว่า เป็นต้นเหตุ ให้เขาโดน ไล่ออก เขาบอกว่า ฉันเป็น นังแม่มดขาว เพราะฉัน ทำให้เขา เจอกับเรื่อง โชคร้ายมากมาย”
“เขาบอกว่า หลังจาก วันที่เรา เลิกกัน (รอบแรก) ทีมก็ เริ่มแพ้ เขาบอก ฉันว่า เขาเครียดมาก หลังเราแยก กัน เขาเป็นคนที่จริงจัง กับฟุตบอล เขาจะดู เกมเสมอ และเช็กผล การแข่งขัน ตลอด แม้แต่นอน อยู่บนเตียง เขายังดู เกมหนึ่ง ที่คอมพิวเตอร์ และอีกเกม ที่แท็บเลต”
“ฉันไม่เคย พบกับครอบครัว ของเขา, เพื่อน ๆ ของเขา หรือสตาฟฟ์ อาร์เซน่อล คนไหนเลย หากเราเจอ ใครบางคนในร้าน อาหาร เขาก็ไม่เคย แนะนำว่าฉัน เป็นแฟนของเขา และถ้ามี คนพยายาม ขอถ่ายรูป กับพวกเรา เขาก็จะ ออกอาการ หัวเสีย” ไรท์ ทิ้งท้าย
3 เหตุผลที่ ‘อูไน เอเมรี’ ผิดพลาดจนถูกปลดจากอาร์เซนอล
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าตกใจเมื่อได้ทราบข่าว แต่ดูเหมือนข่าวการถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ‘ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล ของอูไน เอเมรี จะไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจากใครต่อใครมากมายนัก – อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกช็อกเหมือนกรณีของคู่ปรับร่วมลอนดอนเหนือที่ปลด เมาริซิโอ โปเชตติโน เมื่อ 10 วันที่แล้ว
ในทางตรงกันข้าม มันเป็นสิ่งที่ถูกคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ซึ่งผลงานนัดล่าสุดในการพ่ายต่อ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต คาบ้านของตัวเองก็มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยเร่งการตัดสินใจของบอร์ดบริหารให้ออกมาในรูปแบบนี้
เพราะนอกจากเกมนี้แล้ว อาร์เซนอลก็ไม่ชนะใครเลยในพรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่เข้าเดือนตุลาคม หรือร่วมสองเดือนเต็ม
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตามทิศทางข่าวก่อนหน้านี้บอร์ดบริหารยังพยายามที่จะเชื่อมั่นในตัวของผู้จัดการทีมชาวสเปน และพร้อมจะให้โอกาสในการแก้ตัวในช่วง 2-3 นัดข้างหน้า
แต่เมื่อผลงานเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออีก นอกจากจบกันตรงนี้แล้วเริ่มใหม่
สิ่งที่ดีสำหรับอาร์เซนอล คือมันเป็นการตัดสินใจในระหว่างที่พวกเขายังพอมี ‘เวลา’ ‘โอกาส’ และ ‘ความหวัง’ สำหรับฤดูกาลนี้อยู่
และสำหรับแฟนบอลมันก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่เจ็บปวดเหมือนวันที่ อาร์เซน เวนเกอร์ ต้องบอกลาทีมไปทั้งๆ ที่ยังรัก
บิดเข็มนาฬิกาย้อนหลังกลับไปเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว อาร์เซนอลจำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาตร์ของสโมสร ด้วยการขอให้ยอดผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ไปจากสโมสรที่เขาทำงานมาถึง 22 ปีเต็มไปจากสโมสรเสีย
เหตุผลของการตัดสินใจครั้งนั้นคือการที่ทุกฝ่ายเชื่อว่า เวนเกอร์ไม่สามารถที่จะนำอาร์เซนอล กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง หลังทีมมีทีท่าจะตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาต้องการก้าวเดินไปสู่อนาคต และคนที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมสำหรับการจะพาทีมไปสู่อนาคตคือ อูไน เอเมรี กุนซือชาวสเปน ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมระดับท็อปคนหนึ่งของวงการ มีความสำเร็จเป็นรูปธรรมกับเซบียา และปารีส แซงต์ แชร์กแมง
การเลือกเอเมรีในเวลานั้นดูเหมือนจะมั่นใจได้มากกว่าการดึงอดีตกัปตันทีมอย่าง มิเคล อาร์เตตา ที่แม้จะเป็นมือขวาของโคตรกุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์การทำทีมชุดใหญ่เลย
ในฤดูกาล 2018-19 อาร์เซนอลอาจจะเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้ต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมคอมมิวนิตี้ชีลด์ ก่อนจะพ่ายต่อเชลซี ในเกมเปิดฤดูกาลใหม่ แต่หลังจากนั้นพวกเขาชนะรวดถึง 11 นัด ก่อนจะทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันรวมถึง 22 นัด ก่อนจะไปพ่ายต่อ เซาแธมป์ตัน ในช่วงเดือนธันวาคม
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นมันดูคล้ายว่ายักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนเหนือกลับมาเดินถูกทางอีกครั้ง
แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
อาร์เซนอลค่อยๆ ทำผลงานตกต่ำลงอย่างช้าๆ ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล สุดท้ายพวกเขาจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับ 5 แม้ว่าคู่แข่งร่วมลอนดอนอย่างสเปอร์ส และเชลซี จะขยันทำแต้มหล่นไม่น้อยก็ตาม แต่กันเนอร์สไม่เคยฉกชิงความได้เปรียบนั้นได้
อย่างไรก็ดี เอเมรีสามารถพาทีมเข้าชิงยูโรปาลีก รายการถนัดของเขาได้สำเร็จ ซึ่งหากพวกเขาชนะในเกมที่บากู สังเวียนนัดชิงที่อาเซอร์ไบจาน ก็ยังสามารถเข้าแข่งในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฐานะแชมป์ของรายการ
น่าเสียดายที่พวกเขาพ่ายขาดลอยถึง 4-1 (แม้ว่าความรู้สึกจะไม่แย่นัก เพราะสเปอร์สก็แพ้ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกต่อลิเวอร์พูลเช่นกัน)
อย่างไรก็ดีมันไม่ถึงกับเป็นฤดูกาลที่แย่นัก มีประกายของความหวังให้เห็นและรู้สึกชื่นใจบ้าง
ช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซนอลได้เอดู อดีตกองกลางชาวบราซิลกลับมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค ตำแหน่งที่ทีมขาดคนมานาน
พวกเขายังลบคำสบประมาทเรื่องการซื้อผู้เล่นด้วยการลงทุน 80 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว นิโคลัส เปเป้ กองหน้าอนาคตไกลจากลีลล์ มาร่วมทีม
และในฤดูกาลนี้ ช่วงแรกพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดี โดยแพ้เพียงแค่เกมเดียวจาก 11 นัด เพียงแต่จู่ๆ สถานการณ์ในทีมก็เริ่มพลิกผันแบบน่าใจหาย
และดูเหมือนปัญหาภายในทีมที่เกิดขึ้นจะยากและมากเกินกว่าที่เอเมรี จะแก้ไขมันได้ทันเวลา
ทีนี้หากจะมองให้ลึกลงไปในรายละเอียดของสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างมันจบลงแบบนี้ ก็ต้องบอกว่ามันเกิดขึ้นจากหลายเหตุผลประกอบกันครับ เช่น
เรื่องที่ 1 คือการบริหารคน (Man Management)
เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนสำคัญที่สุดของเอเมรี ซึ่งความจริงแล้วจะบอกว่าเขาเองผิดพลาดมากก็ไม่เชิง เพราะในภาพรวมแล้วถือว่าทุกอย่างค่อนข้างอยู่ในการควบคุม
แต่เขาพลาดในการบริหารนักเตะระดับคีย์แมนของสโมสรอย่าง เมซุต โอซิล
กรณีของโอซิล อย่างที่แฟนบอลที่ติดตามฟุตบอลอังกฤษดีน่าจะพอทราบครับว่าอดีตสตาร์ทีมชาติเยอรมนีถูกบีบให้กลายเป็นส่วนเกินในทีมของเอเมรี แบบที่แฟนบอลเองก็ไม่ค่อยเข้าใจในเหตุผลนัก
จริงอยู่ที่ฟอร์มของโอซิล ไม่สู้ดีมาเป็นระยะเวลานาน แต่การตัดสินใจที่จะตัดเขาออกจากทีมโดยไม่มีการพูดหรือปริปากใดๆ ให้ชัดเจน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความรู้สึกของคนจำนวนมาก ไม่เฉพาะผู้เล่นในทีมที่เกิดคำถาม แต่ยังรวมถึงแฟนบอลที่ไม่พอใจที่สโมสรจับนักฟุตบอลที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของสโมสร (ซึ่งก็เป็นอีกการตัดสินใจที่ผิดพลาดของอาร์เซนอล) ไว้ข้างสนามโดยไม่คิดใช้งาน
หากจะเรียกการตัดสินใจนี้เป็นการเดิมพัน ก็ต้องบอกว่าเอเมรี ‘เจ๊ง’ ครับ
เช่นกันกับการเลือกกัปตันทีม นักเตะที่สำคัญที่สุดของสโมสร แต่กลับปล่อยให้นักเตะในทีมโหวตเลือกกันเองเป็นการภายใน
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคนที่ได้รับเลือกคือ กรานิต ชากา กองกลางฮาร์ดแมนชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่รักของเพื่อนในทีมก็จริง แต่เขาไม่ใช่คนที่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอล และสุดท้ายความตึงเครียดก็นำไปสู่การแตกหักระหว่างทั้งสองฝ่ายในเหตุการณ์อื้อฉาวที่เกิดขึ้น
สุดท้ายเอเมรี ก็ต้องตัดสินใจปลดชากาพ้นจากตำแหน่ง และเลือกคนใหม่อยู่ดี
เรื่องที่ 2 คือการสื่อสาร (Communication)
หนึ่งในสิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมากทั่วโลกที่ต้องทำงานในต่างแดนที่ไม่ใช่บ้านเกิด คือเรื่องของกำแพงภาษา ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงาน และในการสานความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
สำหรับเอเมรี ความจริงดูเหมือนเขาจะไม่มีปัญหา เพราะตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018 เขาไม่ได้ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาสเปน แต่กลับให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษทันที
มันก็ควรจะตีความได้ว่า เอเมรีน่าจะปรับตัวเข้ากับการทำงานกับอาร์เซนอลได้ไม่ยาก
แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นคือ แม้เอเมรีจะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ เพราะเขาพูดได้ไม่ดีพอ
ลูกทีมจำนวนมาก ‘ไม่เก็ต’ ในสิ่งที่เขาพูด และทำให้การทำงานร่วมกันเต็มไปด้วยความยากลำบาก
ลองจินตนาการดูนะครับว่า หากคนหนึ่งพูด A แต่อีกคนเข้าใจเป็น B สุดท้ายผลลัพธ์มันออกมาเป็น C เฉยเลย
เรื่องนี้ความจริง แล้วเป็น ‘จุดอ่อน’ ที่สำคัญของเอเมรี เพราะเมื่อครั้งที่เขาคุมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในฝรั่งเศสก็เกิดปัญหาแบบนี้เช่นเดียวกัน
สุดท้ายก็เกิดระยะห่างระหว่างใจ
เรื่องที่ 3 คือความรู้ความเข้าใจในเกม (Game Insight)
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่สุดในหมู่ปัญหาของเอเมรี เพราะภาพลักษณ์ของกุนซือชาวสเปนรายนี้เขาคือจอมแท็กติกคนหนึ่ง และในการทำงานกับอาร์เซนอล เราก็เคยได้เห็นการจัดแท็กติกที่น่าตื่นเต้นหลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงแรกของการคุมทีมที่ส่วนใหญ่จะออกมาได้ผลดี
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นปัญหาในเวลาต่อมาคือ การจัดแท็กติกแบบแปลกๆ ของเขาไม่ใช่จะได้ผลดีเสมอไป พูดให้ตรงกว่านั้นคือในระยะหลังผลลัพธ์นั้นน่าส่ายหัวเป็นส่วนใหญ่
เอเมรีสลับและปรับแท็กติกบ่อยจนเกินไปจนกลายเป็นความสับสน ทีมขาดความชัดเจน ไม่มีทิศทางที่แน่นอน
จากที่เชื่อมั่น ในระยะหลังนักเตะอาร์เซนอลจำนวนมากเริ่มขาดความเชื่อถือในตัวเอเมรี พวกเขาไม่เชื่อทั้งในแท็กติกการเล่นที่จัดวาง และไม่เชื่อในการแก้ไขเกมระหว่างการแข่งขัน
นี่คือเรื่องหลักๆ ที่เป็นปัญหาของเอเมรี ที่สุดท้ายนำไปสู่เรื่องของผลการแข่งขันที่ตกต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งท้ายที่สุดเมื่อผลงาน ‘ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย’ ก็ทำให้บอร์ดบริหารของอาร์เซนอล ต้องตัดสินใจที่จะแยกทางกับเขาตั้งแต่ตอนนี้
อย่างไรก็ดีการปลดเอเมรี เป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นครับ เพราะอาร์เซนอลมีปัญหาภายในที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่สูงสุดของสโมสรอย่างเจ้าของที่ไม่ให้ความสำคัญกับการทำให้ทีมกลับสู่วงโคจรของการเป็นทีมระดับท็อปของประเทศ มาจนถึงผู้บริหารชุดใหม่ที่ยังไม่ดีพอจะกำหนดทิศทางความสำเร็จให้ทีมได้ และนักเตะภายในทีมที่เมื่อเทียบกับคู่แข่งหลายทีมแล้วต้องบอกว่า ‘ไม่ดีพอ’
ในวงเล็บว่าไม่ใช่แค่เรื่องฝีเท้า แต่ยังเป็นเรื่องของทัศนคติในการเล่นด้วย
แต่หากทีมที่เคยตกจากฟ้าอย่างลิเวอร์พูล ยังกลับมาเป็นทีมระดับท็อปของยุโรปได้ภายในเวลาเพียงแค่ 5 ปี หากอาร์เซนอลสามารถหาคนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้จัดการทีม ที่เป็นผู้นำของสโมสร ก็มีโอกาสที่องค์ประกอบอื่นๆ จะดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน และก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับชื่อที่ปรากฏในเวลานี้สองรายก็ถือว่าดีครับ (โดยระหว่างนี้จะเป็น เฟรดริก ลุงเบิร์ก อดีตมิดฟิลด์ไดนามิกที่ได้คุมทัพแทนเป็นการชั่วคราว)
นูโน เอสปิริโต ซานโต ผู้จัดการทีมวูล์ฟส พิสูจน์ตัวเองในสองฤดูกาลบนพรีเมียร์ลีก (และอีกหนึ่งฤดูกาลในการนำวูล์ฟสกลับสู่ลีกสูงสุด) ด้วยบุคลิกและฝีมือแล้วถือว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่น่าจับตามอง เพียงแต่การจะดึงตัวมาในเวลานี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป โดยเฉพาะกับนูโน ที่มีสายสัมพันธ์พิเศษกับเจ้าของสโมสร และซูเปอร์เอเจนต์อย่าง ปินี ซาฮาวี ที่เป็นคีย์แมนคนสำคัญ
อีกรายคือ โปเชตติโน ที่คนจำนวนไม่น้อยแอบหวังว่ากุนซือชาวอาร์เจนไตน์จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการรับตำแหน่งกุนซืออาร์เซนอล เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังถูกปลดจากสเปอร์ส
ด้วยฝีไม้ลายมือไม่มีอะไรต้องสงสัย ส่วนความตกต่ำกับสเปอร์สนั้นเป็นเรื่องของ ‘วัฏจักร’
เพียงแต่บอร์ดบริหารของกันเนอร์สจะกล้าพอไหมที่จะส่งเทียบเชิญ?
แน่นอนว่าอยู่ที่ตัวของโปเชตติโนเองด้วยว่าหัวใจเขาใหญ่พอที่จะเป็น Judas เหมือนโซล แคมป์เบลล์ อดีตกัปตันไก่เดือยทองไหม?
อยากรู้เหมือนกันนะครับเนี่ย ว่าไหม?
คลิกเลย >>> UFABETWINS
เทคนิคดีๆที่เพิ่มกำไรให้อย่างดีเยี่ยม คลิกเลย >>> https://www.letsgotrotting.com/