ขุนพลเชลซี ตกลงกันอย่างเป็นเอกฉันท์ที่จะตัดค่าเหนื่อยจำนวน 10 เปอร์เซนต์ตลอดระยะเวลา 4 เดือนเพื่อช่วยเหลือสโมสรในช่วงวิกฤติโดนไวรัสมรณะถล่มจนขาดรายได้ ขณะที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ใจปล้ำอาสาลดค่าจ้าง 25 เปอร์เซนต์ด้วยเช่นกัน
นักเตะทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เห็นพ้องต้องกันว่าจะยอมตัดค่าเหนื่อยจำนวน 10 เปอร์เซนต์เป็นเวลา 4 เดือนเพื่อช่วยสโมสรที่กำลังเจอปัญหาจากเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการเปิดเผยของ เดอะ มิร์เรอร์ สื่อดังในอังกฤษ
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ พรีเมียร์ลีก จำเป็อนต้องหยุดพักการแข่งขัน และทำให้แต่ละสโมสรต้องขาดรายได้จากวันที่มีเกมการเล่นตามไปด้วย อย่างเช่นค่าตั๋วและยอดจำหน่ายสินค้า เป็นต้น
เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กัปตันทีม เชลซี ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจากับเพื่อนร่วมสังกัดผ่าน วอทส์แอพ (WhatsApp) ซึ่งทุกๆ คนก็ยอมตกลงทำตามเงื่อนไขที่สโมสรขอร้อง จากนั้นกองหลังชาวสแปนิช ได้ส่งข้อความในนามของกลุ่มนักเตะ
เพื่อยืนเรื่องการตัดค่าเหนื่อย ซึ่งจะช่วยให้ เชลซี ประหยัดเงินได้ 10 ล้านปอนด์ (ราว 380 ล้านบาท) ตลอดระยะเวลา 4 เดือน
ขณะเดียวกัน แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมคนหนุ่มไฟแรง ได้สมัครใจยอมลดค่าเหนื่อยจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์หรือประมาณ 1.25 ล้านปอนด์ (ราว 47.5 ล้านบาท) จากรายได้ที่เขาได้รับ 5 ล้านปอนด์ (ราว 190 ล้านบาท) ต่อปี เพื่อช่วยสโมสรผ่านวิกฤตินี้
เราจะฝ่าวิกฤติไปด้วยกัน!แข้ง “โรม่า” ไม่รับค่าจ้าง4เดือนช่วยสโมสร
งานนี้ต้องปรบมือกันให้ดังๆ เมื่อเหล่านักเตะ อาแอส โรม่า รวมถึงตัวกุนซือและทีมงาน ต่างสมัครใจที่จะไม่รับค่าจ้าง 4 เดือน เพื่อช่วยเรื่องการเงินของสโมสร โดยเฉพาะเหล่าลูกจ้าง
อาแอส โรม่า สโมสรดังแห่งเวที กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ประกาศยืนยัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมาว่า บรรดานักเตะ, โค้ช และ สต๊าฟฟ์โค้ชทุกคน
พร้อมใจที่จะไม่รับค่าจ้างตลอดช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ เพื่อช่วยพยุงสถานะการเงินของสโมสรที่กำลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19”
เกมสุดท้ายของ โรม่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ก่อนที่เชื้อไวรัส “โควิด-19” จะระบาดหนักที่ประเทศอิตาลี ซึ่งตอนนี้มีหลายสโมสรในศึก เซเรีย อา กำลังพิจารณาถึงเรื่องให้นักเตะยอมสละค่าเหนื่อย 1 เดือนเป็นอย่างน้อย และล่าสุด โรม่า กลายเป็นสโมสรแรกที่เหล่านักเตะ รวมถึงกุนซือ เปาโล ฟอนเซก้า ตัดสินใจที่จะไม่รับค่าจ้างถึง 4 เดือน (มีนาคม, เมษายน, พฤษภาคม และ มิถุนายน)
“บรรดานักเตะของสโมสร, เปาโล ฟอนเซก้า โค้ชทีมชุดใหญ่ และทีมงานของเขา ต่างสมัครใจที่จะไม่รับค่าจ้างเป็นเวลาสี่เดือนในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ เพื่อช่วยสโมสรฝ่าวิกฤติทางเศรษฐกิจ ที่ได้เล่นงานโลกฟุตบอลมาตลอด นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ โคโรน่าไวรัส” “เหล่านักเตะ, โค้ช และ สต๊าฟฟ์โค้ช ตกลงร่วมกันที่จะช่วยจ่ายเงินส่วนต่าง เพื่อให้มั่นใจว่า พนักงานทุกคนของ โรม่า ซึ่งอยู่ในโครงการของรัฐบาล จะยังคงมีรายได้ตามจำนวนเดิม” แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของ โรม่า ระบุ
แอบผิดหวัง! “รูนี่ย์” โอดตลอดอาชีพน่าทำประตูได้มากกว่านี้
เวย์น รูนี่ย์ ตำนาน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แอบเสียดายและผิดหวังเล็กๆ โดยบอกตลอดอาชีพนักเตะของตนน่าจะมีสถิติการทำประตูแจ่มกว่านี้ พร้อมฟันธง อีกไม่นาน แฮร์รี่ เคน จะก้าวขึ้นมาเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลทีมชาติอังกฤษ
เวย์น รูนี่ย์ อดีตยอดกองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้เล่นให้กับ ดาร์บี้ เค้าน์ตี้ ยืนยันว่า ตนไม่เคยมองตัวเองเป็นดาวยิงโดยธรรมชาติ แต่เชื่อว่าน่าจะทำประตูได้มากกว่านี้ ทั้งระดับสโมสรและทีมชาติอังกฤษ
ปัจจุบัน รูนี่ย์ ครองสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลทั้งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (253 ประตู) และ อังกฤษ (53 ประตู) ซึ่งเจ้าตัวแอบเสียดายว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ พร้อมแสดงความมั่นใจว่า อีกไม่นาน แฮร์รี่ เคน ยอดดาวยิง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ น่าจะทุบสถิติของตนในสีเสื้อ “สิงโตคำราม” ได้ (เคน ทำไปแล้ว 32 ประตู)
“เอาตรงๆ เลยนะ เรื่องนี้อาจจะทำให้คุณแปลกใจ แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่ใช่ตัวทำสกอร์โดยธรรมชาติ” ดาวเตะวัย 34 ปี เขียนลงในคอลัมน์ของ เดอะ ไทม์ส สื่อดังอังกฤษ “ผมครองสถิติสุดยอดทั้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อังกฤษ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผมภาคภูมิใจมาก”
“ถ้าถามว่า ผมก้าวขึ้นมาครองสถิติดาวซัลโวสูงสุดได้อย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ดาวยิงโดยธรรมชาติ? เวลาไง เพราะผมเล่นให้ ยูไนเต็ด 13 ปี และรับใช้ อังกฤษ มา 15 ปี ผมจึงมีเวลามากพอที่จะทุบสถิติเก่าๆ ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ผมรู้สึกว่า ผมน่าจะทำประตูได้มากกว่านี้ด้วย”
“ผมไม่คิดว่า แฮร์รี่ เคน จะใช้เวลานานในการทำลายสถิติของผมในทีมชาติอังกฤษ ซึ่งมันคงจะเป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจสำหรับผม ผมไม่เคยเป็นนักเตะ
ที่เห็นแก่ตัว และมันคงจะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ทั้งสำหรับ อังกฤษ และ แฮร์รี่ หากเขาก้าวไปถึงจุดนั้นได้ เพราะขนาด (เซอร์) บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ยังต้องรอนานถึง 50 ปีเลย (กว่า รูนี่ย์ จะทำลายสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล “ปีศาจแดง”)”
“สถิติของ ยูไนเต็ด อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าหน่อย เพราะสมัยนี้นักเตะไม่ค่อยอยู่กับสโมสรตัวเองนานๆ ลองคิดดูสิ หากนักเตะอย่าง (ลิโอเนล) เมสซี่ หรือ (คริสเตียโน่) โรนัลโด้ มาเล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พวกเขาคงทำลายสถิติได้ภายใน 3 หรือ 4 ปี!”
อ่านเพิ่มเติม >>> ข่าวฟุตบอล
คลิกเลย >>> https://www.letsgotrotting.com/