ลิเวอร์พูล เสริมทัพอย่างน่าสนใจเพื่อเตรียมลุยศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022-23 โดยไฮไลท์สำคัญย่อมเป็นการทุ่มเงินมหาศาลคว้าตัว ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาผนึกกำลังกับอดีตหนึ่งนักเตะที่เพิ่งย้ายจากทีมในลีกสูงสุดของโปรตุเกสมาร่วมทีมเช่นกัน นั่นคือ หลุยส์ ดิอาซ
ทั้งสองต่างเป็นนักเตะที่ย้ายจากลีกแดนฝอยทองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแอนฟิลด์ ซึ่งประเด็นนี้สร้างความแปลกใจให้แฟนหงส์แดงพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีทีท่าว่าลิเวอร์พูลจะสนใจนักเตะจากลีกโปรตุเกส แต่อยู่ดีๆก็ทุ่มซื้ออย่างต่อเนื่องถึง 2 คน
Main Stand จะพาคุณมาเจาะจากแทคติกของลิเวอร์พูลถึงแนวทางที่เปลี่ยนแปลงไปในตลาดซื้อขาย และวิเคราะห์กันว่านักเตะจากลีกโปรตุเกสมีจุดเด่นอย่างไร? ทำไมพวกเขาถึงเป็นเป้าสนใจของทีมระดับท็อปในพรีเมียร์ลีก?
ของดีราคาแพงและทักษะอันยอดเยี่ยม
กล่าวกันให้เห็นภาพอย่างชัดเจนก่อนว่า การซื้อนักเตะจากลีกโปรตุเกสเข้ามาเล่นในพรีเมียร์ลีกถือเป็นกระแสนิยมของสโมสรฟุตบอลในอังกฤษได้สักระยะหนึ่งแล้ว โดยในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มีนักเตะถึง 14 รายที่ย้ายจากโปรตุเกสเข้ามาเล่นในอังกฤษ ก่อนที่ ดาร์วิน นูนเญซ จะปิดดีลกับลิเวอร์พูลเป็นแข้งรายที่ 15 ในรอบ 5 ปีหลังสุด
มีนักเตะหลายรายที่ประสบความสำเร็จและหลายรายที่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยนักเตะที่สามารถแจ้งเกิดบนเวทีพรีเมียร์ลีก และก้าวเป็นตัวหลักของทีมชั้นนำ ได้แก่ รูเบน ดิอาส, เอแดร์ซอน, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ส่วนนักเตะที่ไปไม่ถึงความคาดหวังก็เช่น อเล็กซ์ เตลลิส หรือ ดิโอโก้ ดาโลต์
หากสังเกตรายชื่อนักเตะทั้งหมดที่กล่าวมาจะพบว่า ทีมระดับท็อปของอังกฤษที่บ้าคลั่งไปกับการทุ่มซื้อนักเตะจากโปรตุเกส มีเพียงสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น ซึ่งความจริงข้อนี้สามารถสะท้อนอะไรหลายอย่างให้เห็นถึงสาเหตุเบื้องหลังความนิยมการซื้อนักเตะจากลีกโปรตุเกสเข้ามาสู่พรีเมียร์ลีก
ประการแรกคือ นักเตะจากลีกโปรตุเกสเป็นนักเตะที่มักได้รับการการันตีว่ามีฝีเท้าดี แต่มีราคาแพงเกินตลาดทั่วไปเสมอ เห็นได้ชัดจากนักเตะทั้ง 4 รายในกลุ่มประสบความสำเร็จที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้าที่ไม่มีใครถูกซื้อเข้ามาในราคาที่ต่ำกว่า 30 ล้านปอนด์
โดยเฉพาะในรายของ รูเบน ดิอาส ที่ราคาพุ่งสูงถึง 65 ล้านปอนด์ และถึงแม้เขาจะพิสูจน์ว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก แต่เงินตรงนี้ยังแพงเกินไปสำหรับหลายทีมในการทุ่มซื้อนักเตะเกมรับ
ครั้นจะคิดประหยัดเงินและเลือกซื้อนักเตะในรูปแบบของดีราคาถูกจากลีกโปรตุเกส สิ่งที่แฟนบอลและสโมสรทั่วโลกต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจคือ “ไม่มีของถูกและดีจากลีกโปรตุเกส” ทีมที่โดนหลอกเข้าเต็มเปามาแล้วก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เลือกคว้า เตลลิส และ ดาโลต์ ในราคาคนละไม่ถึง 20 ล้านปอนด์ ซึ่งสุดท้ายก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า พวกเขามีฝีเท้าที่ไม่ถึงสำหรับการเล่นให้สโมสรระดับนี้
การซื้อ เตลลิส และ ดาโลต์ เป็นบทเรียนที่ดีว่า หากคิดจะซื้อของถูกก็จงไปให้ไกลจากลีกโปรตุเกส เพราะแม้แต่ทีมอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ยังจ่ายเงินด้วยจำนวนมากกว่า 20 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อ ริคาร์โด้ เปไรร่า และ อาเดรียน ซิลวา เข้ามาสู่ทีม
ส่วน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ที่ขึ้นชื่อเรื่องการดึงนักเตะจากโปรตุเกส ต่างทุ่มเงินไม่ต่ำกว่า 30 ล้านปอนด์ เพื่อดึงแข้งอย่าง ฟาบิโอ ซิลวา และ ราอูล ฆิเมเนซ เข้ามาสู่ทีม ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ
แม้แต่ เลสเตอร์ และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ยังเคยผ่านประสบการณ์ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงนักเตะที่ล้มเหลวอย่าง อาเดรียน ซิลวา และ ฟาบิโอ ซิลวา มาใช้งาน ดังนั้น จึงมีหลายทีมที่เลือกเดินไปให้ห่างจากลีกโปรตุเกส และปล่อยให้ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ที่ดูนิยมชมชอบผู้เล่นจากลีกดังกล่าวทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อนักเตะจากโปรตุเกสต่อไป
ส่วนคำตอบว่า ทำไม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงสนใจจะคว้าตัวนักเตะจากลีกโปรตุเกสเป็นพิเศษ ทั้งที่รู้ดีว่ามีราคาแพงแถมยังพ่วงมาด้วยความเสี่ยงที่จะล้มเหลว นั่นเป็นเพราะนักเตะเหล่านี้มีทักษะในการเล่นบอลกับพื้นที่ยอดเยี่ยม ซึ่งปัจจุบันถือเป็นรากฐานสำคัญของฟุตบอลระดับสูง
ไม่ว่าผลลัพธ์ที่แสดงออกมาบนสนามจะต่างกันมากแค่ไหน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ในปัจจุบัน เลือกจะให้ความสำคัญกับการเซ็ตเกมบนพื้นทั้งคู่ ซึ่งสำหรับทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คงเห็นกันได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้ภาพที่แสดงออกมาจะค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่ความตั้งใจจริงของพวกเขาก็แสดงเห็นชัดว่า ต้องการกองหลังที่เล่นบอลด้วยเท่าได้ดี และสามารถออกบอลได้จากแดนหลังเพื่อเล่นเกมบุกโจมตีคู่ต่อสู้ได้ทันที
หาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีความต้องการแบบนี้ พวกเขาคงไม่ซื้อกองหลังจากลีกโปรตุเกส 3 คน 3 ตำแหน่ง นั่นคือ ลินเดอเลิฟ, เตลลิส และ ดาโลต์ มาอยู่ในทีมพร้อมกัน
เมื่อเทียบกับทัพเรือใบสีฟ้า พวกเขาก็มีนักเตะจากโปรตุเกส 3 คน 3 ตำแหน่งในเกมรับเช่นเดียวกัน คือ เอแดร์ซอน, รูเบน ดิอาส และ เจา คันเซโล นั่นเป็นเพราะทั้ง 2 ทีมต่างมีความต้องการที่จะสร้างการเริ่มเกมรุกด้วยการออกบอลอย่างแม่นยำจากแผงหลัง เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาบนสนามแตกต่างกันเท่านั้น
เราสามารถสรุปได้ว่า คุณสมบัติ 2 ประการของนักเตะโปรตุเกสในพรีเมียร์ลีกคือเป็นของดีราคาแพง และมีความสามารถเล่นฟุตบอลกับพื้นได้ดี ซึ่งนอกจาก 2 ทีมแห่งแมนเชสเตอร์ มีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่มีงบประมาณมากพอที่จะเสี่ยงไปกับนักเตะราคาแพง และยังให้ความสำคัญกับใช้นักเตะที่มีทักษะการเล่นบอลกับเท้ายอดเยี่ยม นั่นคือ ลิเวอร์พูล
ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่ลิเวอร์พูลจะก้าวตามเทรนด์ของเพื่อนร่วมลีกให้ทัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก่อนหน้านี้ที่ทำให้พวกเขาไม่กระโดดลงมาสู่การล่าตัวนักเตะจากลีกโปรตุเกส อาจเป็นเพราะงบประมาณไม่เพียงพอหรือยังหานักเตะที่ถูกใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ช่วงเวลานั้นได้สิ้นสุดไปแล้ว เพราะทัพหงส์แดงได้หันหน้าสู่การล่านักเตะในลีกโปรตุเกสแบบเต็มตัวนับจากนี้
ถึงเวลาเปลี่ยนแนวทางเพื่อล่าความสำเร็จ
ความแตกต่างของลิเวอร์พูลในการซื้อนักเตะจากลีกโปรตุเกสที่เห็นได้ชัดคือ พวกเขาเน้นไปยังการคว้านักเตะแนวรุกมากกว่าจะเป็นผู้เล่นเกมรับเหมือน 2 สโมสรจากเมืองแมนเชสเตอร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใจความสำคัญของพวกเขาต่างเหมือนกันคือ ต้องการนักเตะเทคนิคสูงและมีทักษะเล่นบอลกับเท้าได้ดีเข้ามาเสริมแกร่งในตำแหน่งนั้นๆ
เหตุผลที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เน้นไปยังการคว้าผู้เล่นจากลีกโปรตุเกสที่เล่นในตำแหน่งเกมรับ นั่นเป็นเพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับการครองบอลอยู่กับตัวเป็นเวลานาน รวมถึงการรอให้พื้นที่ในแดนคู่ต่อสู้เปิดออกอย่างอดทน พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องคว้าผู้เล่นแดนหลังที่สามารถถ่ายบอลออกไปยังด้านข้างหรือด้านหน้าอย่างแม่นยำ และโจมตีคู่แข่งได้ในเสี้ยววินาทีเมื่อเห็นพื้นที่ของคู่แข่งเปิดก่อน
แต่สำหรับแทคติกของลิเวอร์พูลในปัจจุบัน การครองบอลเพื่อรอให้พื้นที่เปิดอย่างอดทนไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับการแย่งบอลที่เสียไปกลับมาครองในทันที รวมถึงการวิ่งอย่างดุดันไปทั่วทุกพื้นที่ในสนาม นี่คือสิ่งที่ทำให้ฟุตบอล “เกเกนเพรสซิ่ง” ของ เยอร์เกน คล็อปป์ แตกต่างออกไปจาก “ติกิ-ตากา” ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
เพราะฟุตบอลของลิเวอร์พูลมีจังหวะการเล่นบอลที่รวดเร็วราวกับดนตรีเฮฟวี่เมทัล แตกต่างจากการต่อบอลอย่างเนิบช้าแบบดนตรีคลาสสิกตามตำรับของกวาร์ดิโอลา นอกเหนือไปจากนั้น ฟุตบอลของคล็อปป์ยังให้ความสำคัญไปกับการฝากบอลไปยังพื้นที่ว่างและใช้ความเร็วของนักเตะแนวรุกโจมตีคู่ต่อสู้แบบฉับพลัน แทนจะถ่ายบอลเข้าไปเล่นในกรอบเขตโทษอย่างอดทน พร้อมกับปฏิเสธการใช้บอลโยนยาวทั้งหมดแบบแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ลิเวอร์พูลจึงต้องการนักเตะที่สามารถเดินทางไปกับบอลได้ดีและสามารถจบสกอร์ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สั่งห้ามไม่ให้นักเตะทุกคนโชว์เดี่ยวเลี้ยงบอลยาวไปจบสกอร์ พร้อมกับกำชับชัดให้จ่ายบอลสั้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เกเกนเพรสซิ่งนั้นไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ นักเตะเกมรุกจะเลี้ยงเดี่ยวหรือจ่ายบอลยาวอย่างไรก็ได้ ขอเพียงจบสกอร์ให้ได้เป็นพอ
โจทย์การคว้านักเตะในตำแหน่งกองหน้าของลิเวอร์พูลก่อนหน้านี้จึงมีเพียง “รวดเร็ว, แข็งแกร่ง และยิงประตูได้ดี” ด้วยเหตุนี้ ทัพหงส์แดงจึงเน้นคว้าตัวรุกจากทวีปแอฟริกา ทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ต่างเข้าข่ายนักเตะในรูปแบบนั้น ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ก็ถูกดึงเข้ามาเล่นเป็นกองหน้าตัวกลางเพื่อแย่งบอลจากคู่แข่งอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นหัวใจของฟุตบอลแบบเกเกนเพรสซิ่งตลอดมา
แต่อย่างที่แฟนบอลทั่วโลกเห็นกันอย่างชัดเจนว่า ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกยกระดับขึ้นไปทุกขณะ และคำตอบที่เห็นอย่างชัดเจนคือแนวทางที่ผ่านมาของลิเวอร์พูลยังดีไม่พอที่จะเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ การขับเคี่ยวเพื่อแย่งแชมป์ลีกอย่างเข้มข้นทั้งในฤดูกาล 2018-19 และ 2021-22 ต่างจบลงด้วยความยินดีของทัพเรือใบสีฟ้า หากลิเวอร์พูลอยากจะแซงหน้าคู่แข่งคนสำคัญ พวกเขาต้องกล้าก้าวเดินออกจากแนวคิดเดิมๆ
มันจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่าหากลิเวอร์พูลในอนาคตข้างหน้าจะไม่ได้เลือกใช้แค่นักเตะที่เร็ว, แกร่ง และยิงคมอย่างเดียว แต่ต้องเป็นนักเตะที่สามารถครองบอลและจ่ายบอลในบริเวณกรอบเขตโทษได้อย่างแม่นยำ ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเขาเริ่มหันไปหานักเตะจากลีกโปรตุเกส เพราะทักษะและเทคนิคการเล่นฟุตบอลกับพื้นที่พวกเขาตามหาอยู่ตอนนี้
ทางกลับกัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เคยสนใจตัวรุกจากโปรตุเกสอย่างจริงจัง นั่นเพราะ เป๊x กวาร์ดิโอลา เลือกมองไปยังนักเตะที่มีประสบการณ์ในลีกสเปนซึ่งเน้นไปยังการผสมผสานทักษะความสามารถกับแทคติกที่ได้รับมอบหมายอย่างลงตัว แตกต่างจากลีกโปรตุเกสที่ยังเน้นความสามารถของนักเตะล้วนๆเป็นหลัก
ถ้าทีมของคุณไม่ได้ซีเรียสกับการเล่นตามแทคติกมากเท่าทีมของกวาร์ดิโอลา การดึงนักเตะโปรตุเกสก็เป็นทางที่เหมาะสมมากกว่า และสามารถคว้าตัวมาได้ง่ายกว่านักเตะจากสเปน
นี่จึงเป็นประตูทองคำที่เปิดกว้างรอให้ลิเวอร์พูลเดินเข้าไปคว้านักเตะแนวรุกฝีมือดีเข้ามาสู่ทีม หลุยส์ ดิอาซ และ ดาร์วิน นูนเญซ จึงก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทัพแอนฟิลด์อย่างที่เราเห็นกัน ซึ่งครึ่งปีที่ดิอาซเล่นให้กับลิเวอร์พูลได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ทักษะของเขาสามารถเบียด ดิโอโก้ โชต้า ลงไปนั่งสำรองได้สบาย ส่วนนูนเญซก็เล่นได้หลากหลายตำแหน่ง แม้แต่ตัวหลังกองหน้าก็สามารถเล่นได้ เขาจึงไม่ใช่แค่กองหน้าตัวใหญ่จอมพลังแบบที่เราคุ้นชินกัน
เหตุผลง่ายที่สุดที่ลิเวอร์พูลเลือกหันมาคว้านักเตะจากลีกโปรตุเกสมากขึ้นในช่วงหลัง นั่นเป็นเพราะความต้องการจะพัฒนาทีมให้เก่งมากขึ้นไปกว่านี้ การที่จะบอกว่านักเตะจากโปรตุเกสดูเหมาะสมกับฟุตบอลแบบติกิ-ตากา ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากกว่าเกเกนเพรสซิ่งของลิเวอร์พูล ไม่ใช่เรื่องที่สามารถพูดได้อีกต่อไป
เพราะทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็เลือกใช้วิธีการที่พวกเขาไม่เคยใช้หลายอย่างใน 2 ฤดูกาลหลังสุดจนสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นการยอมปล่อยให้ ริยาด มาห์เรซ ลากบอลไปโซโล่จบสกอร์คนเดียวแบบไม่สนเพื่อน หรือการยิงไกลของโรดรี้ที่เห็นได้ชัดว่าฝึกฝนมาอย่างดีในสนามซ้อม ทั้งหมดนี้ถือเป็นวิธีการที่ไม่ตรงกับแบบแผนของติกิ-ตากา แต่เมื่อเลือดเข้าตา ผลลัพธ์ย่อมสำคัญกว่าเสมอ
นี่จึงเป็นเวลาที่ ลิเวอร์พูล ต้องปรับเปลี่ยนเช่นกัน แน่นอนว่าแนวทางหลักของเกเกนเพรสซิ่งจะยังดำเนินไปในรูปแบบเดิม แต่รายละเอียดในบางจังหวะต้องมีความหลากหลายมากขึ้น และการดึงตัวรุกชาวโปรตุเกสที่อาจจะไม่แข็งแกร่งหรือรวดเร็วเท่าแข้งแอฟริกัน และไม่ได้ไล่บอลได้ดีเท่าที่ฟีร์มิโน่เคยทำได้ แต่มีทักษะในการจ่ายบอลที่มากกว่า ความสามารถในการเอาตัวรอดในที่แคบที่ดีกว่า อาจเป็นหนทางที่พาลิเวอร์พูลไปถึงฝั่งฝัน
การซื้อนักเตะจากลีกโปรตุเกสของลิเวอร์พูลจึงไม่ได้มากไปกว่าการปรับเปลี่ยนแนวทางเพื่อเข้าใกล้การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากขึ้น เพราะมีหลักฐานชัดเจนมากเกินพอแล้วว่า แนวทางแบบเก่าไม่สามารถช่วยให้พวกเขาต่อสู้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ในสถานการณ์ที่สูสี การเปลี่ยนแปลงจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
นักเตะจากลีกโปรตุเกสที่มีราคาแพงแต่มีทักษะการเล่นบอลกับเท้าที่ยอดเยี่ยมจึงเป็นทางเลือกที่ลิเวอร์พูลมองเห็นแล้วว่า สามารถช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จมากขึ้นได้ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นไปอย่างที่หวังไว้หรือไม่ อีกไม่ช้านานเราจะได้รู้คำตอบ